Skip to content

GitLab

  • Tanasit Auewongaree @tanasit.a ·

    การใช้งานส่วนเสริมออกรายงาน

    การใช้งานส่วนเสริมออกรายงาน เราจะใช้วิธีการ Inject IExportExcelService (ต่อไปจะเรียกว่า Service) ไปยังคลาส Interface Controller หรือ Interface Service ที่ต้องการใช้งาน คำสั่งออกเอกสาร โดย Service จะมีคำสั่งสร้างอินสแตนซ์ IExportExcelProvider (ต่อไปจะเรียกว่า Provider) เพื่อใช้งานคำสั่งสำหรับออกรายงานเอกซ์เซล

    ตัวอย่าง : excelHelper

    
var _excel = _exportExcelService.excelHelper(_unitOfWork, param);

    คำอธิบาย

    จากรหัสคำสั่ง ตัวแปร _excel คือ อินสแตนซ์ของ Provider หรือ สามารถเรียกว่า Object ของ Provider class ได้เหมือนกัน ซึ่งการจะสร้างอินสแตนซ์ Provider สิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้เลยคือ IUnitOfWork class หรือ อินสแตนซ์ที่สร้างมาจากคลาสดังกล่าว ที่เราบรรจุใส่ในพารามิเตอร์ที่ 1 เป็นสิ่งที่ต้องการ และขาดไม่ได้ (Required) ส่วนพารามิเตอร์ที่ 2 คือ การเช็ทพารามิเตอร์ส่งไปทางคลาสเทมเพลต เพื่อใช้งานประมวลผลในส่วนของ query

    Edited by Tanasit Auewongaree
  • Tanasit Auewongaree @tanasit.a ·

    การใช้งานคำสั่งออกรายงานเอกซ์เซล

    ในส่วนของคอมเมนต์นี้จะเป็น ตัวอย่างรหัสคำสั่ง export และหลักการทำงานเบื้องต้น

    ตัวอย่าง : export

    
var export = _excel.export("...filename...", () => //<=Action
{
	//=>Step 1 : จัดการ Properties

	//=>Step 2 : จัดการ Sheet
});

    คำอธิบาย

    จากรหัสคำสั่ง เรียกใช้คำสั่ง export ภายใน Provider เพื่อออกรายงาน สามารถแบ่งการทำงานเป็น 2 ขั้นตอน คือ

    • ขั้นตอนที่ 1 : จะเป็นส่วนของการกำหนดค่า Properties ให้กับแฟ้มเอกสารเอกซ์เซล
    • ขั้นตอนที่ 2 : จะเป็นส่วนของสร้างชีท ให้กับเอกสาร โดยจะนำ ผลลัพธ์จากการสร้างรายงานมาเก็บไว้ที่ตัวแปร export โดยชุดคำสั่ง export จะคืนผลลัพธ์เป็นคลาสอ็อปเจกต์ ExportExcelResult.cs ซึ่งคลาสดังกล่าว จะมีแอตทริบิวต์ให้บริการดังนี้

    ตัวอย่าง : ExportExcelResult.cs

    
public class ExportExcelResult
{

	public bool success { get; set; } = false;

        public IRawFile file { get; set; } = new RawFile();

        public Exception exception { get; set; } = null;
}

    คำอธิบาย

    ตัวแปร success เป็นตัวแปรประเภท bool ให้ผลลัพธ์เพื่อบอกว่าในการประมวลผลเราสามารถสร้างรายงานได้หรือไม่

    • true = สำเร็จ
    • false = ล้มเหลว

    ตัวแปร file เป็นตัวแปรประเภท คลาสอ็อปเจกต์ IRawFile โดยภายใน IRawFile มีแอตทริบิวต์ให้บริการดังนี้

    • fileName = ชื่อไฟล์
    • rawBytes = แปลงแฟ้มเอกสารเป็น byte array
    • data = เก็บข้อมูล data

    ตัวแปร exception หากพบ Exception ระหว่างสร้างเอกสารจะสามารถแสดงผลค่าล้มเหลวได้จากตัวแปรนี้

    Edited by Tanasit Auewongaree
  • Tanasit Auewongaree @tanasit.a ·

    การกำหนด Properties ภายในเอกสาร

    คอมเมนต์ส่วนนี้ อธิบายเกี่ยวกับการใช้คำสั่ง กำหนดค่า Properties ให้กับเอกสาร

    ตัวอย่าง : การใช้คำสั่งกำหนด Properties

    
var export = _excel.export("...filename...", () => //<=Action
{
	//=>Step 1 : จัดการ Properties
	_excel.title("รีพอร์ตครุภัณฑ์ - กรมท่าอากาศยาน");
        _excel.company("กรมท่าอากาศยาน");
        _excel.author("ERP - piesoft.net");
	_excel.created(DateTime.Now)

        //=>Step 2 : จัดการ Sheet
});

    คำอธิบาย

    • _excel.title กำหนดชื่อหัวข้อให้กับ Properties
    • _excel.company กำหนดชื่อบริษัทให้กับ Properties
    • _excel.author กำหนดชื่อผู้สร้างรายงานให้กับ Properties
    • _excel.created กำหนดวันที่ และเวลาตอนสร้างรายงานให้กับ Properties

    หมายเหตุ : Properties คือข้อมูลดังรุปภาพ

    properties_

    Edited by Tanasit Auewongaree
  • Tanasit Auewongaree @tanasit.a ·

    การออกรายงานเอกสารชีทเดียว (One Sheet)

    ในการออกรายงาน หากผู้ใช้งานเรียกใช้ส่วนเสริมสำหรับออกรายงานนี้ ชุดรหัสคำสั่งที่ผู้ใช้งานต้องเขียนจะประกอบโดยโครงสร้างรหัสโปรแกรม ตามรหัสโปรแกรมต่อไปนี้

    //=>ประกาศอ็อปเจกต์ เทมเพลตคลาส
INV_01Export inv_01 = new INV_01Export();

//=>สร้างรายงาน
var export = _excel.export("INV_01", () =>  //=>พารามิเตอร์ที่ 1 : ชื่อรายงาน และพารามิเตอร์ที่ 2 : แอ็คชัน หรือการประมวลผลรายงาน
{
    //=>Step 1 : เซ็ท  Properties
    ....

    //=>Step 2 : จัดการ Sheet
    _excel.makeWorkSheet("กรมท่าอากาศยาน", inv_01); //=>สร้างชีทภายในเอกสาร พารามิเตอร์ 1 : ชื่อชีท และพารามิเตอร์ 2 : อ็อปเจกต์เทมเพลตคลาส
});

    คำอธิบาย

    ในการออกรายงาน เราจำเป็นต้องมีแบบแปลนต้นแบบของชุดรายงาน (Template) อยู่ก่อน เพื่อส่งดาต้าเข้าไปที่เทมเพลต เพื่อประมวลผล และสร้างแฟ้มรายงานตามแบบแปลนที่กำหนดไว้ โดยองค์ประกอบของแบบแปลนสามารถดูได้จากเนื้อหาด้านล่าง

    หมายเหตุ :

    จากรหัสโปรแกรมในคอมเมนต์นี้ จะเป็นการออกรายงานที่มีเพียงชีทเดียว หรือเทมเพลตที่อิมพลีเมนต์ขึ้นนั้นรองรับเฉพาะรายงานชีทเดียว หากผู้ใช้งานต้องการเขียนรายงานที่มีหลายชีทสามารถอ่านจากคอมเม้นต์ลำดับถัดไป

    Edited by Tanasit Auewongaree
  • Tanasit Auewongaree @tanasit.a ·

    การออกรายงานเอกสารหลายชีท (Multiple Sheet)

    บางครั้งในการสร้างรายงานจะมีบางเคสที่รายงานอาจมีได้หลายชีท แต่ใช้งานชุดข้อมูลที่คล้ายคลึงกัน เราสามารถใช้รหัสโปรแกรมต่อไปนี้เพื่อแนวทางดังกล่าว

    //=>ประกาศอ็อปเจกต์ เทมเพลตคลาส
INV_01Export inv_01 = new INV_01Export();

//=>สร้างรายงาน
var export = _excel.export("INV_01", () =>  //=>พารามิเตอร์ที่ 1 : ชื่อรายงาน และพารามิเตอร์ที่ 2 : แอ็คชัน หรือการประมวลผลรายงาน
{
    //=>Step 1 : เซ็ท  Properties
    ....

    //=>Step 2 : จัดการ Sheet
    _excel.makeWorkSheets("กรมท่าอากาศยาน", inv_01); //=>สร้างชีทภายในเอกสาร พารามิเตอร์ 1 : ชื่อชีท และพารามิเตอร์ 2 : อ็อปเจกต์เทมเพลตคลาส
});

    คำอธิบาย

    ในการออกรายงาน เราจำเป็นต้องมีแบบแปลนต้นแบบของชุดรายงาน (Template) อยู่ก่อน เพื่อส่งดาต้าเข้าไปที่เทมเพลต เพื่อประมวลผล และสร้างแฟ้มรายงานตามแบบแปลนที่กำหนดไว้ โดยองค์ประกอบของแบบแปลนสามารถดูได้จากเนื้อหาด้านล่าง

    ข้อควรระวัง

    • รหัสคำสั่งสร้างชีทหลายชีท แตกต่างจากชีทเดียวเพียงเติม ตัว s ต่อท้าย _excel.makeWorkSheet = แบบชีทเดียว และ _excel.makeWorkSheets = แบบหลายชีท
    • ในการออกรายงานหลายชีทในแฟ้มเอกสารเดียว ควรอิมพลีเมนต์เทมเพลตคลาสให้แบ่งชุดข้อมูลออกเป็นกลุ่ม เพื่อให้โปรแกรมเบื้องหลังสามารถวนลูปดาต้า เพื่อสร้างชีทได้
    Edited by Tanasit Auewongaree
  • Tanasit Auewongaree @tanasit.a ·

    การสร้างเทมเพลตรายงาน (Template)

    แหล่งจัดเก็บคลาสเทมเพลต

    การสร้างคลาสเทมเพลต จะสร้างไว้ที่ ชั้น Business logic layer (Tier2) โดยสร้างไว้ที่โฟเดอร์ Exports ดังภาพตัวอย่าง

    tier2

    คำอธิบาย

    • กรอบสีแดงด้านบนแสดงให้เห็นว่าโฟเดอร์ Exports จะอยู่ภายใต้ Business logic layer
    • กรอบสีแดงด้านล่างแสดงให้เห็นว่าภายในโฟเดอร์ Exports จะมีโฟเดอร์ย่อยลงไปอีก นั่นคือโฟเดอร์ที่แบ่งแยกกลุ่มเทมเพลต อีกทีหนึ่ง โดยจากตัวอย่างตามภาพคือ Inventory นั่นหมายถึง โฟเดอร์ย่อยนี้เก็บเทมเพลตสำหรับออกรายงานครุภัณฑ์ เป็นต้น

    tier2-1

    คำอธิบาย

    • ภายใต้โฟเดอร์ Inventorys จะประกอบไปด้วยคลาสเทมเพลตสำหรับออกรายงานข้อมูลครุภัณฑ์รูปแบบต่าง ๆ

    ข้อกำหนดในการตั้งชื่อคลาสเทมเพลต

    • ควรตั้งชื่อ {{ShortName}}_{{Type}}Export.cs
    • {{ShortName}} คือ ชื่อย่อของกลุ่มรายงาน เช่น Inventorys ย่อเป็น INV
    • {{Type}} คือ ประเภทของรายงาน (อิงจากหน้าเว็บ เช่น รายงานครุภัณฑ์มี 4 เรื่องย่อย) เช่น 1. รายงานจำนวนครุภัณฑ์ คือ 01
    • จากตัวอย่าง หากเรารวม ShortName และ Type เข้าด้วยกันจะได้ชื่อเทมเพลต ว่า INV_01Export.cs

    การสร้างคลาสเทมเพลต

    ในการสร้างคลาสเทมเพลตเราจะ ใช้วิธีการสร้างคลาสตามปกติ แต่เพิ่มเติมคือมีการ เอกซ์เทนด์ คลาสสำหรับช่วยเหลือในการสร้างรายงาน (จากรูปภาพ Architecture ด้านบนในแผ่นผืนผ้าที่ 5) เพื่อขอรับการสืบทอดวิธีออกรายงานจากคลาสแม่ และเรียนรู้ข้อบังคับ (Interface) เช่น หากต้องการออกรายงานจะต้องมี เมท็อดอะไรบ้าง การแยกส่วนการประมวลผลของเมท็อด และแต่ละเมท็อดมีคุณสมบัติอะไรบ้าง เป็นต้น

    ตัวอย่าง : รหัสโปรแกรมเทมเพลต INV_01

    /// <summary>
/// Code : INV_01
/// Template : 1.1 รายงานจำนวนครุภัณฑ์
/// </summary>
public class INV_01Export : ExportExcelSupport
{
    public override JObject collection<T>(T data = null)
    {
        throw new NotImplementedException();
    }

    public override void query()
    {
        throw new NotImplementedException();
    }

    public override void renderBody()
    {
        throw new NotImplementedException();
    }

    public override void renderHeader()
    {
        throw new NotImplementedException();
    }
}

    คำอธิบาย

    • เมื่อเราสร้างคลาส INV_01Export.cs เสร็จแล้วให้สร้างคอมเมนต์ที่หัวคลาส โดยกำหนด Code คือ ชื่อเรียกเทมเพลต {{ShortName}}_{{Type}} และกำหนด Template คือคำอธิบายเกี่ยวกับ เทมเพลต (ตามหน้าเว็บไซต์)
    • เอกซ์เทนด์คลาส เพื่อขอสืบทอดวิธีการออกรายงาน
    • สร้างเมท็อดที่เป็นข้อบังคับ เมื่อต้องการสืบทอดวิธีการออกรายงาน (Implement Interface)

    หน้าที่การทำงานของเมท็อด

    เราสามารถลำดับรายการที่เริ่มต้น ไปจนถึงสิ้นสุดได้ ดังนี้

    1. query
    2. collection
    3. renderHeader
    4. renderBody

    โดยแต่ละส่วนมีหน้าที่การทำงานแตกต่างกัน หลักๆ ดังนี้

    • การทำงานของเมท็อด query มีขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้งานเขียนรหัสโปรแกรมสำหรับคิวรี่ดาต้าเบสเพื่อสร้างข้อมูลสำหรับนำไปบรรจุใส่ชีท และ เรียกใช้งาน พารามิเตอร์ ที่ส่งมาจากแผ่นผืนผ้าที่ 3 นำมาเป็นเงื่อนไขในการคิวรี่ข้อมูล รวมถึงการเช็ทพารามิเตอร์เพิ่มเติมสำหรับใช้ภายในเทมเพลตด้วย
    • collection รับหน้าที่ในการสร้างโมเดลก้อนใหม่จากดาต้าที่คิวรี่ ซึ่งลักษณะการทำงานจะเป็นการ Mapper Key จากพารามิเตอร์ data เพื่อสร้างโมเดลใหม่ที่เป็นข้อมูล JObject หรือคือการแปลง ดาต้าไปเป็น JObject โดยเลือกเฉพาะคีย์ที่อยู่ภายใน data ที่เราสนใจ
    • renderHeader เขียนกำหนดเทมเพลตส่วนหัวชีท ว่ามีหัวตารางอะไรบ้างโดยไม่เกี่ยวกับเนื้อหา
    • renderBody เขียนกำหนดเทมเพลตส่วนเนื้อหา
    Edited by Tanasit Auewongaree
  • Tanasit Auewongaree @tanasit.a ·

    การเรียกใช้งาน Parameter และการกำหนดค่า Parameter

    คอมเมนต์นี้ เป็นตัวอย่างการส่งผ่าน พารามิเตอร์ในชั้น Service Interface (แผ่นผืนผ้าที่ 3) ไปยังคลาสเทมเพลต (แผ่นผืนผ้าที่ 5 - 6) เพื่อนำไปใช้ในการกำหนดเงื่อนไขของการคิวรี่ และกำหนดค่าผ่านเมท็อดคิวรี่ใน คลาสเทมเพลต เพื่อนำไปใช้ระหว่าง เมท็อด collection, renderHeader และ renderBody เป็นต้น

    ในการเรียกใช้พารามิเตอร์จะต้องมีการ ฉีดพารามิเตอร์ไปยัง ExportExcelSupport ก่อนโดยผ่าน Provider ตัวอย่าง : การฉีดพารามิเตอร์ (Inject parameter)

    
var _excel = _exportExcelService.excelHelper(_unitOfWork, param);
    คำอธิบาย

    param คือ ตัวแปร parameter ภายในชั้น Service Interface โดยเราจะกำหนดลงใน พารามิเตอร์ตัวที่ 2 ของคำสั่ง excelHelper เพื่อฉีดมันไปที่ แผ่นผืนผ้าที่ 5 และ 6 สำหรับใช้งาน

    เมื่อเราฉีดพารามิเตอร์เรียบร้อยแล้ว เราจะสามารถเรียกใช้งานที่คลาสเทมเพลตได้ 3 รูปแบบ มีดังนี้

    • รูปแบบที่ 1 ผ่านตัวแปร this._parameter ซึ่งเป็นตัวแปรที่อยู่ที่ ExportExcelSupport class หรือเก็บไว้ที่คลาสแม่ให้ คลาสเทมเพลตสืบทอด โดยรูปแบบที่ 1 this._parameter จะมีประเภทแอตทริบิวต์เป็น JObject ซึ่งคือ Json Linq โดยจากตัวอย่างจะใช้ Type dynamic เข้ารับเพื่อจัดการ Json ได้ง่ายขึ้น (ไม่รับคุณสมบัติ Linq ที่ JObject สืบทอดมา ทำให้จัดการได้ง่ายยิ่งขึ้น) โดยข้อควรระวัง ของแบบที่ 1 จะคือ ห้ามใช้งานตัวแปร dynamic ตรงๆ แต่ให้เช็ทเก็บไว้ที่ตัวแปรก่อน แล้วจึงนำตัวแปรที่มีประเภทถูกต้องตามค่า (Value) ไปใช้งาน
    dynamic parameter = this._parameter; //รับ JObject ด้วย dynamic 
int invGroupId = int.Parse(parameter.invGroupId.ToString()); //ใช้ dynamic ตรง ๆไม่ได้นะคอมไพล์แยกได้ยาก เลยต้องแปลงค่าเก็บไว้ที่ตัวแปรตามประเภทที่ถูกต้อง
    • รูปแบบที่ 2 ผ่านเมท็อด getParameter ซึงรองรับเจเนริคไทพ์ โดยเมท็อดมีคุณสมบัติแปลง JObject ไปเป็น class ที่เรากำหนดได้ แต่ต้องมีโครงสร้าง Json ที่เหมาะสม เช่น แอตทริบิวต์ตรงกัน ประเภทตรงกัน เป็นต้น
    var param = this.getParameter<DownloadParameter>(); //แปลง JObject class เป็น DownloadParameter class

....
if (param.depId != 0) // วิธีการเรียกใช้ จะเหมือนการใช้อ็อปเจกต์ของคลาส เรียกแอตทริบิวต์ ทั่วไป
{
    invRepo.where(w => w.DepartmentId == param.depId);
}
    • รูปแบบที่ 3 ผ่านเมท็อด param ซึ่งรับพารามิเตอร์ key เพื่อดึงค่าจาก Value ออกมาแสดงผล
    var _invGroupId = int.Parse(this.param("invGroupId")); // ดึงค่า value ของพารามิเตอร์ ชื่อ invGroupId ออกมาเก็บลงตัวแปร

    หมายเหตุ : การใช้งานขึ้นอยู้กับสถานการณ์

    • รูปแบบที่ 1 และ2 เหมาะกับการใช้งาน ที่เมท็อดคิวรี่เท่านั้น
    • รูปแบบที่ 3 สามารถใช้ในเมท็อด อื่น ๆ เช่น collection , renderHeader และ renderBody ได้
    Edited by Tanasit Auewongaree
  • Tanasit Auewongaree @tanasit.a ·

    การสร้าง Mockup data

    ในการพัฒนาโปรแกรมที่ผ่านมาพบว่า เราสามารถนำ Mockup data มาประยุกต์ใช้งานกับการทำโมดูลออกรายงานได้ยาก เนื่องจากโครงสร้างของระบบที่ดีไซน์ ไม่รองรับ หรืออาจส่งผลกระทบต่อส่วนอื่น หรือทำได้แต่ไม่เวิร์ค ยุ่งยากเกินไป ในส่วนเสริมการออกรายงาน เรามีการนำ ดีไซน์แพทเทิร์น ที่ช่วยให้การเข้าถึงอ็อปเจกต์บางอย่างเข้าด้วยกันได้ และห่อหุ้มอ็อปเจกต์เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการ จึงสามารถแยกส่วนการพัฒนาโมดูลออกเอกสารออกมาไว้ที่เทมเพลตได้ จึงทำให้เกิดข้อดีดังนี้

    • หากมีการแก้ไขเทมเพลต จะไม่กระทบต่อโครงสร้าง Service Interface
    • ลดความซับซ้อน รหัสโปรแกรมภายใน Service Interface
    • แยกส่วนของการพัฒนา และข้อกำหนดบังคับชัดเจน

    ในความดีงามบ้างครั้ง ยังคงแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด... ข้อเสียดังนี้

    • เพิ่มความซับซ้อนให้กับการพัฒนา
    • เสียเวลาในการทำความเข้าใจ

    กลับมาที่การ Mockup data เราจะทำไว้ที่เมท็อดคิวรี่ ภายในคลาสเทมเพลต เพื่อเปลี่ยนมาเป็น version 1.1 จะสามารถคิวรี่ข้อมูลให้ได้ตามการ Mockup จากนั้นจะพบว่าเราแก้ไขเพียง เมท็อดคิวรี่ เราก็สามารถออกรายงานได้ถูกต้องตามการ Mockup data เป็นต้น

    public override void query()
{
    var data = new dynamic[] {
        new
        {
            number = "1",
            level = 1,
            text = "กรมท่าอากาศยาน",
            guid = "yyyyAA2323",
        },
        new {
            number = "1.1",
            level = 2,
            text = "บันไดเลื่อน",
            val_1 = 320,
            val_2 = 10,
            val_3 = 330,
            guid = "yyyyAA2323",
       },
       new
       {
            number  = "1.1.1",
            level = 3,
            text = "บันไดเลื่อน",
            val_1 = 320,
            val_2 = 10,
            val_3 = 330,
            guid = "yyyyAA2323",
       },
       ....
       },
       new
       {
            number  = "2.1.1",
            level = 3,
            text = "บันไดเลื่อน2",
            val_1 = 320,
            val_2 = 10,
            val_3 = 330,
            guid = "yyyyAA2325",
       }
    };

    this.setResources(data);
}
    คำอธิบาย

    จาก mockup data ข้างบนสำหรับการแสดงผลรายงาน ตามรูปภาพตัวอย่างต่อไปนี้ display-exam

    โดยจะเห็นว่ารายงานแบบนี้แบ่งเป็น 3 ชั้น ชั้นที่ 1 สำหรับ ท่าอากาศยาน , ชั้นที่ 2 สำหรับกลุ่มครุภัณฑ์ และชั้นที่ 3 สำหรับประเภทครุภัณฑ์ ในการ Mockup data จึงกำหนดแอตทริบิวต์ level สำหรับแยกลำดับชั้นข้อมูล และ guid สำหรับแยกชุดข้อมูลว่า ชั้นต่างๆ เป็นของ level อะไรเป็นต้น

    การ Mockup data สำหรับเอกสารหลานชีท ควรมีการ Group by ข้อมูลด้วย

    ตัวอย่างการกรุ๊ปข้อมูล

    public override void query()
{
 
    var data = new dynamic[] {
        ...
    }

    var group = data.GroupBy(g => g.invTypeName).ToList();

    this.setResources(group);
}
    Edited by Tanasit Auewongaree
  • Tanasit Auewongaree @tanasit.a ·

    การสร้าง Query database

    คอมเมนต์นี้จะอธิบายการ เขียนคิวรี่ข้อมูลภายในคลาสเทมเพลต

    ตัวอย่าง : การเขียนคิวรี่ง่าย ๆ ชีทเดียว

    public override void query()
{
    var _invRepo = _unitOfWork.getRepository<InvInventory>();

    var data = _invRepo.get();

    this.setResources(_query);
}

    ตัวอย่าง : การเขียนคิวรี่แบบมีเงื่อนไข (WHERE Clause) และหลายชีท

    public override void query()
{
    //=>Step 1 : Get parameter
    //=>สามารถเรียกใช้งานได้ 2 วิธี
    //=>วิธีที่ 1 : ผ่านตัวแปรพลวัต
    dynamic parameter = this._parameter;
    int invGroupId = int.Parse(parameter.invGroupId.ToString());
    int depId = int.Parse(parameter.depId.ToString());
    int invTypeId = int.Parse(parameter.invTypeId.ToString());

    //=>Step 2 : Query
    var invRepo = _unitOfWork.getRepository<InvInventory>();
    var depRepo = _unitOfWork.getRepository<DpDepartment>();
    var invTypeRepo = _unitOfWork.getRepository<InvType>();
    var invGroupRepo = _unitOfWork.getRepository<InvGroup>();

    invRepo.where(w => w.IsEnable == 1)
        .where(w => w.IsDelete == 0);


    depRepo.where(w => w.IsEnable == 1)
        .where(w => w.IsDelete == 0);

    if (invGroupId != 0)
    {
        invRepo.where(w => w.InvGroupId == invGroupId);
        invGroupRepo.where(w => w.InvGroupId == invGroupId);
    }

    if (invTypeId != 0)
    {
        invRepo.where(w => w.InvTypeId == invTypeId);
        invTypeRepo.where(w => w.InvTypeId == invTypeId);
    }

    if (depId != 0)
    {
        invRepo.where(w => w.DepartmentId == depId);
        depRepo.where(w => w.DepId == depId);
    }

    var _data = invRepo.get();
    var department = _data.GroupBy(g => g.DepartmentId).ToList();

    this.setResources(_query);
}

    หมายเหตุ :

    • ในการเขียนคิวรี่นั้น แทบทุกประการจะคล้ายกับที่เราเขียนทางฝั่ง Interface Service เพิ่มเติมมีการเพิ่ม ข้อกำหนด และคำสั่งบางส่วนเข้ามาเล็กน้อยเท่านั้น เช่น การใช้พารามิเตอร์ การเช็ทพารามิเตอร์ หรือ การเช็ทดาต้าเป็นต้น
    • จากตัวอย่างรหัสคำสั้ง ด้านบนผู้พัฒนายังสามารถประยุกต์โดยได้ ก้อน data มาแล้ว จะ convert data เป็น Model ทีกำหนดขึ้นใหม่ก็ทำได้เช่นกัน
    Edited by Tanasit Auewongaree
  • Tanasit Auewongaree @tanasit.a ·

    การสร้าง Collection

    การกำหนด collection คือการสร้าง Model สำหรับชีท หน้านั้นๆ ขึ้น หรือ collection คือการนำ data จากคิวรี่ มาใช้เพื่อสร้างข้อมูลในหน้าชีทอีกทีหนึ่ง ยกตัวอย่าง เราคิวรี่ข้อมูล ครุภัณฑ์ที่มีฟิลด์มากมาย มาเก็บยัง ตัวแปร this._resource เพื่อรอเช็ท this._resource ไปเป็น this.data ผ่าน เมท็อด collection อีกครั้งเป็นต้น

    ตัวอย่าง : การกำหนด collection จากข้อมูล data ตัวอย่างจาก Mockup data

    public override JObject collection<T>(T data)
{
    return JObject.FromObject(new
    {
        title = "รายงานจำนวนครุภัณฑ์ กรมท่าอากาศยาน",
        createAt = "12 ธ.ค. 2561 15.00 น.",
        data = (from o in data
                where o.level == 1
                select new
                {
                    Col_1 = o.number,
                    Col_2 = o.text,
                    Row_2 = (from oo in data
                             where oo.level == 2 && oo.guid == o.guid
                             select new
                             {
                                  Col_1 = oo.number,
                                  Col_2 = oo.text,
                                  Col_3 = oo.val_1,
                                  Col_4 = oo.val_2,
                                  Col_5 = oo.val_3,
                                  Row_3 = (from ooo in data
                                           where ooo.level == 3 && ooo.guid == o.guid
                                           select new
                                           {
                                               Col_1 = ooo.number,
                                               Col_2 = ooo.text,
                                               Col_3 = ooo.val_1,
                                               Col_4 = ooo.val_2,
                                               Col_5 = ooo.val_3,
                                           })
                             })
                 })
      });
}

    หมายเหตุ :

    • จากตัวอย่างคือ การจับคคู่ข้อมูลเพื่อนำไปใช้อีกทีหนึ่ง
    Edited by Tanasit Auewongaree
  • Tanasit Auewongaree @tanasit.a ·

    การวาดหัวตาราง และเนื้อหา

    การวาดหัวตาราง และเนื้อหาของชีท สามารถทำได้โดยกำหนด หัวตารางที่ส่วนของเมท็อด renderHeader และ ส่วนเนื้อหาที่ renderBody

    ตัวอย่าง : วาดส่วนหัว

    public override void renderHeader()
{
    // กำหนดเดต้า และพารามิเตอร์
    dynamic _data = this.data;
    dynamic parameter = this._parameter;

    //ความกว้างของ column
    this.worksheet.Column(2).colWidth(56);
    this.worksheet.Column(3).colWidth(15);
    this.worksheet.Column(4).colWidth(15);
    this.worksheet.Column(5).colWidth(15);
    this.worksheet.Row(5).rowHeight(5.25);

    // ส่่วนของหัวเรื่อง
    using (ExcelRange range = this.worksheet.Cells[2, 1, 2, 5])
    {
        range.Value = _data.title.ToString();
        range.Merge = true;
        range.strong(); //ตัวหนา
        range.alignCenter(); //อยู่กึ่งกลาง
    }


    // ส่วนของวันที่พิมพ์รายงาน
    using (ExcelRange range = this.worksheet.Cells[4, 3, 4, 5])
    {
        range.Value = "วันที่พิมพ์รายงาน : " + parameter.createAt.ToString();
        range.Merge = true;
        range.fontSize(14); //ขนาดตัวอักษร
        range.alignRight(); //ชิดขวา
    }

    // ส่วนของหัวตาราง
    // สีหัวตาราง
    this.worksheet.Cells[6, 1, 7, 5].backgroundColor(142, 169, 219);

    // ลำดับที่
    using (ExcelRange range = this.worksheet.Cells[6, 1, 7, 1])
    {
        range.Value = "ลำดับที่";
        range.Merge = true;
        range.strong(); //ตัวหนา
        range.alignCenter(); //อยู่ตรงกลาง
    }
    // ส่วนของหัวตาราง

    // รายการ
    using (ExcelRange range = this.worksheet.Cells[6, 2, 7, 2])
    {
        range.Value = "รายการ";
        range.Merge = true;
        range.strong(); //ตัวหนา
        range.alignCenter(); //อยู่ตรงกลาง
    }
    // ส่วนของหัวตาราง
     // จำนวน
    using (ExcelRange range = this.worksheet.Cells[6, 3, 6, 5])
    {
        range.Value = "จำนวน";
        range.Merge = true;
        range.strong(); //ตัวหนา
        range.alignCenter(); //อยู่ตรงกลาง
    }

    this.worksheet.Cells[7, 3].Value = "ใช้งานได้";
    this.worksheet.Cells[7, 4].Value = "ใช้งานไม่ได้";
    this.worksheet.Cells[7, 5].Value = "รวม";

    this.worksheet.Cells[7, 3, 7, 5].strong(); //ใช้งานได้ ใช้งานไม่ได้ รวม ตัวหนา
    this.worksheet.Cells[7, 3, 7, 5].alignCenter(); //ใช้งานได้ ใช้งานไม่ได้ รวม อยู่ตรงกลาง

    //เส้นของตาราง
    this.worksheet.Cells[6, 1, 7, 5].border(ExcelBorderStyle.Thin);
}

    ตัวอย่าง : วาดเนื้อหา

    public override void renderHeader()
{
    int Row = 8;

    foreach (dynamic dep in this.data["data"])
    {
        //---ท่าอากาศยาน
        //สี
        this.worksheet.Cells[Row, 1, Row, 5].backgroundColor("#B4C6E7");
        this.worksheet.Cells[Row, 1].strong(); //เลข ตัวหนา 
        this.worksheet.Cells[Row, 2].strong(); //ชื่อท่า ตัวหนา 
        this.worksheet.Cells[Row, 1].alignCenter(); //เลข อยู่ตรงกลาง
                
        //ข้อความ
        this.worksheet.Cells[Row, 1].Value = Convert.ToDecimal(dep.Col_1.ToString());
        this.worksheet.Cells[Row, 2].Value = dep.Col_2.ToString();
        Row++;

        foreach (dynamic group in dep.Row_2)
        {
            //---กลุ่ม inv
            //สี
            this.worksheet.Cells[Row, 1, Row, 5].backgroundColor("#D9E1F2");
            this.worksheet.Cells[Row, 3, Row, 5].strong(); //ใช้งาน ไม่ได้ รวม ตัวหนา 
            this.worksheet.Cells[Row, 1].alignCenter(); //เลข อยู่ตรงกลาง
            this.worksheet.Cells[Row, 3, Row, 5].alignCenter(); //ใช้งานได้ ไม่ได้ รวม อยู่ตรงกลาง

            this.worksheet.Cells[Row, 1].Value = Convert.ToDecimal(group.Col_1.ToString());
            this.worksheet.Cells[Row, 2].Value = group.Col_2.ToString();
            this.worksheet.Cells[Row, 3].Value = Convert.ToDecimal(group.Col_3.ToString());
            this.worksheet.Cells[Row, 4].Value = Convert.ToDecimal(group.Col_4.ToString());
            this.worksheet.Cells[Row++, 5].Value = Convert.ToDecimal(group.Col_5.ToString());
        
            foreach (dynamic type in group.Row_3)
            {
                //---ประเภท inv
                this.worksheet.Cells[Row, 3, Row, 5].alignCenter(); //ใช้งานได้ ไม่ได้ รวม อยู่ตรงกลาง         
                this.worksheet.Cells[Row, 2].Value = type.Col_1.ToString();
                this.worksheet.Cells[Row, 3].Value = Convert.ToDecimal(type.Col_2.ToString());
                this.worksheet.Cells[Row, 4].Value = Convert.ToDecimal(type.Col_3.ToString());
                this.worksheet.Cells[Row++, 5].Value = Convert.ToDecimal(type.Col_4.ToString());
            }
        }

        //ใส่เส้นตาราง
        this.worksheet.Cells[8, 1, Row - 1, 5].border(ExcelBorderStyle.Thin);
    }

    this.worksheet.Cells[1, 1, Row - 1, 5].valignCenter(); //ข้อความแนวตั้งอยู่ตรงกึ่งกลาง

}
    Edited by Tanasit Auewongaree
  • Tanasit Auewongaree @tanasit.a ·

    การควบคุมไฟล์จากส่วนเสริม IUploadFileService

    ในการออกรายงาน ExportExcelResult จะคืนผลลัพธ์เอกสารเอกซ์เซลออกมาเป็น byte[] ทำให้เราต้องมาจัดการนำ byte[] เข้า Stream เพื่อจัดการบันทึกไฟล์อีกทีหนึ่ง ซึ่งขั้นตอนนี้เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกับ IUploadFileService ได้จะทำให้การจัดการไฟล์ของเราง่ายขึ้นไปอีกขั้น โดยสามารถทำตามตัวอย่างต่อไปนี้

    ตัวอย่าง : การใช้ IUploadFileService สร้างไฟล์เอกซ์เซลจาก ExportExcelResult

    IUploadFileProvider file = null;
INV_01Export inv_01 = new INV_01Export();

var export = _excel.export(...filename..., () =>
{
    //=>Step 1 : เซ็ท  Properties
    ....
    //=>Step 2 : จัดการ Sheet
    ....
});

if (export.success)
{
    file = _uploadFileService.make(export.file);
    file.setPath(path);
    file.save(); // บันทึกไฟล์
}

    คำอธิบาย

    • เราสามารถรู้ได้ว่าการประมวลผลเพื่อสร้างรายงานสำเร็จ หรือไม่ ได้จากตัวแปร success ที่อยู่ภายใน ExportExcelResult
    • file = _uploadFileService.make(export.file); คือนำอ็อปเจกต์ที่เก็บไว้ภายใน ExportExcelResult มาสร้างอ็อปเจกต์ IUploadFileProvider
    • หลังจาก file คืออินสแตนซ์ของคลาส IUploadFileProvider จะสามารถเรียกใช้งานคุณสมบัติที่ Provider จัดเตรียมไว้ให้บริการได้
    • file.setPath(path); คือตัวอย่างการกำหนดค่า path หรือ ตำแหน่งโฟเดอร์ให้กับไฟล์
    • file.save(); คือการบันทึก

    หมายเหตุ :

    หากต้องการทราบว่า IUploadFileService มีบริการอะไรบ้างสามารถดูได้ ที่นี่

    Edited by Tanasit Auewongaree
  • Tanasit Auewongaree @tanasit.a ·

    เทคนิคส่วนเสริมจัดการสไตล์ภายในชีท

    ในการจัดการสไตล์ EPPlus.Core ได้เตรียมชุดคำส่งไว้ให้เราแล้ว ซึ่งครอบคลุมทั้งจักรวาลของการจัดการสไตล์ บนเอกซ์เซล แต่ว่าการเรียกใช้งานทำได้ค่อนข้างยาก และเยอะมากทำให้ ExportExcelSupport ต้องเตรียมส่วนของการช่วยเหลือในเรื่องการจัดการสไตล์ของชีทเข้ามาช่วยผู้ใช้งาน ให้เขียนคำสั่งสั้นลงไปอีก จึงขอนำเสนอฟีเจอร์เล็กๆ น้อยๆ เพื่อช่วยในการจัดการสไตล์ชีท มีดังนี้

    หมวดการจัดการสไตล์ชีท

    • Row - Column
      • ExcelWorksheet defaultRowHeight(this ExcelWorksheet excelSheet, double height)
      • ExcelWorksheet defaultColWidth(this ExcelWorksheet excelSheet, double width)
      • ExcelRow rowHeight(this ExcelRow excelRow, double height)
      • ExcelRange autoWidth(this ExcelRange excelRange)
      • ExcelColumn colWidth(this ExcelColumn excelColumn, double width)
    • Text
      • ExcelWorksheet defaultFontSize(this ExcelWorksheet excelSheet, object fontSize)
      • ExcelWorksheet defaultFontFamily(this ExcelWorksheet excelSheet, string fontFamily)
      • ExcelRow fontSize(this ExcelRow excelRow, float fontSize)
      • ExcelRange fontSize(this ExcelRange excelRange, float fontSize)
      • ExcelColumn fontSize(this ExcelColumn excelColumn, float fontSize)
      • ExcelRow strong(this ExcelRow excelRow)
      • ExcelRange strong(this ExcelRange excelRange)
      • ExcelColumn strong(this ExcelColumn excelColumn)
      • ExcelColumn wrapText(this ExcelColumn excelColumn, bool wrap)
    • Text align
      • ExcelRow alignCenter(this ExcelRow excelRow)
      • ExcelRow alignLeft(this ExcelRow excelRow)
      • ExcelRow alignRight(this ExcelRow excelRow)
      • ExcelRange alignCenter(this ExcelRange excelRage)
      • ExcelRange alignLeft(this ExcelRange excelRage)
      • ExcelRange alignRight(this ExcelRange excelRage)
      • ExcelColumn alignCenter(this ExcelColumn excelRage)
      • ExcelColumn alignLeft(this ExcelColumn excelRage)
      • ExcelColumn alignRight(this ExcelColumn excelRage)
      • ExcelRow valignCenter(this ExcelRow excelRow)
      • ExcelRow valignTop(this ExcelRow excelRow)
      • ExcelRow valignBottom(this ExcelRow excelRow)
      • ExcelRange valignCenter(this ExcelRange excelRage)
      • ExcelRange valignTop(this ExcelRange excelRage)
      • ExcelRange valignBottom(this ExcelRange excelRage)
      • ExcelColumn valignCenter(this ExcelColumn excelColumn)
      • ExcelColumn valignTop(this ExcelColumn excelColumn)
      • ExcelColumn valignBottom(this ExcelColumn excelColumn)
    • Border
      • ExcelRange border(this ExcelRange excelRange, ExcelBorderStyle borderStyle)
    • Text color
      • ExcelRow textColor(this ExcelRow excelRow, string codeColor)
      • ExcelRow textColor(this ExcelRow excelRow, Color color)
      • ExcelRow textColor(this ExcelRow excelRow, byte r, byte g, byte b)
      • ExcelRange textColor(this ExcelRange excelRange, string codeColor)
      • ExcelRange textColor(this ExcelRange excelRange, Color color)
      • ExcelRange textColor(this ExcelRange excelRange, byte r, byte g, byte b)
      • ExcelColumn textColor(this ExcelColumn excelColumn, string codeColor)
      • ExcelColumn textColor(this ExcelColumn excelColumn, Color color)
      • ExcelColumn textColor(this ExcelColumn excelColumn, byte r, byte g, byte b)
    • Background color
      • ExcelRow backgroundColor(this ExcelRow excelRow, string codeColor)
      • ExcelRow backgroundColor(this ExcelRow excelRow, Color color)
      • ExcelRow backgroundColor(this ExcelRow excelRow, byte r, byte g, byte b)
      • ExcelRange backgroundColor(this ExcelRange excelRange, string codeColor)
      • ExcelRange backgroundColor(this ExcelRange excelRange, Color color)
      • ExcelRange backgroundColor(this ExcelRange excelRange, byte r, byte g, byte b)
      • ExcelColumn backgroundColor(this ExcelColumn excelColumn, string codeColor)
      • ExcelColumn backgroundColor(this ExcelColumn excelColumn, Color color)
      • ExcelColumn backgroundColor(this ExcelColumn excelColumn, byte r, byte g, byte b)
    • Format
      • ExcelRange format(this ExcelRange excelRange, string formatter)
    Edited by Tanasit Auewongaree
  • Tanasit Auewongaree @tanasit.a ·

    การอิมพลีเมนต์ / ตัวอย่างการใช้งานจริง

    ตัวอย่างการนำ ชุดรหัสคำสั่งเสริมส่วนออกรายงานมาใช้งานจริง สามารถทำได้ตามตัวอย่างด้านล่างนี้ หรือสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากโฟเดอร์จัดเก็บ คลาสเทมเพลต การออกรายงานที่ Tier2 ตามตำแหน่งโฟเดอร์ ดังนี้

    ตำแหน่งโฟเดอร์
    • {{root_project}}/{{project_tier2}}/Exports/Inventorys/*
    /// <summary>
/// Code : INV_01 
/// Template : 1.1 รายงานจำนวนครุภัณฑ์
/// </summary>
public class INV_01Export : ExportExcelSupport
{
    public override JObject collection<T>(T data = null)
    {
        var datas = data as IEnumerable<dynamic>;
        //=>Map object
        var MapData = JObject.FromObject(new
        {
            title = "รายงานจำนวนครุภัณฑ์ กรมท่าอากาศยาน",
            data = (from d in datas
                    where d.level == 1
                    select new
                    {
                        Col_1 = d.number,
                        Col_2 = d.deps.Name,
                        Row_2 = (from gr in datas
                                    where gr.level == 2 && gr.guidp == d.guid
                                    select new
                                    {
                                        Col_1 = gr.number,
                                        Col_2 = gr.name,
                                        Col_3 = gr.use,
                                        Col_4 = gr.notUse,
                                        Col_5 = gr.sum,
                                        Row_3 = (from ty in datas
                                                where ty.level == 3 && ty.guid == gr.guid
                                                select new
                                                {
                                                    Col_1 = ty.number + " " + ty.name,
                                                    Col_2 = ty.use,
                                                    Col_3 = ty.notUse,
                                                    Col_4 = ty.sum
                                                })
                                    })
                    })
        });

        return MapData;
    }

    public override void query()
    {
        //=>Step 1 : Get parameter
        //=>สามารถเรียกใช้งานได้ 2 วิธี
        //=>วิธีที่ 1 : ผ่านตัวแปรพลวัต
        dynamic parameter = this._parameter;
        int invGroupId = int.Parse(parameter.invGroupId.ToString());
        int depId = int.Parse(parameter.depId.ToString());
        int invTypeId = int.Parse(parameter.invTypeId.ToString());

        //var _query = new List<dynamic>();
        //=>Step 2 : Query
        var invRepo = _unitOfWork.getRepository<InvInventory>();
        var depRepo = _unitOfWork.getRepository<DpDepartment>();
        var invTypeRepo = _unitOfWork.getRepository<InvType>();
        var invGroupRepo = _unitOfWork.getRepository<InvGroup>();

        invRepo.where(w => w.IsEnable == 1)
            .where(w => w.IsDelete == 0);
        depRepo.where(w => w.IsEnable == 1)
            .where(w => w.IsDelete == 0);

        if (invGroupId != 0)
        {
            invRepo.where(w => w.InvGroupId == invGroupId);
            invGroupRepo.where(w => w.InvGroupId == invGroupId);
        }

        if (invTypeId != 0)
        {
            invRepo.where(w => w.InvTypeId == invTypeId);
            invTypeRepo.where(w => w.InvTypeId == invTypeId);
        }

        if (depId != 0)
        {
            invRepo.where(w => w.DepartmentId == depId);
            depRepo.where(w => w.DepId == depId);
        }

        dynamic _queryDep = null;
        dynamic _queryGroup = null;
        dynamic _queryType = null;

        List<dynamic> _query = new List<dynamic>();
        var _data = invRepo.get();
        var department = _data.GroupBy(g => g.DepartmentId).ToList();

        var depNumber = 1;
        foreach (var dep in department)
        {
            var guId = StringExtension.strRandom(20);
            int departmentId = dep.FirstOrDefault().DepartmentId.Value;
            var _dep = depRepo.get().FirstOrDefault(f => f.DepId == departmentId);
            if (_dep != null)
            {
                _queryDep = _dep;
                _query.Add(new // add level 1
                {
                    number = depNumber,
                    deps = _queryDep,
                    guid = guId,
                    level = 1,
                });

                var group = dep.GroupBy(g => g.InvGroupId).ToList();
                var groupNumber = 1;
                foreach (var gr in group)
                {
                    //var repoInvGroup = _unitOfWork.getRepository<InvGroup>();
                    var groupId = gr.FirstOrDefault().InvGroupId;
                    var _group = invGroupRepo.where(w => w.IsDelete == 0).where(w => w.IsEnable == 1).get()
                        .FirstOrDefault(f => f.InvGroupId == groupId);

                    if (_group != null)
                    {
                        var guIdgroup = StringExtension.strRandom(20);
                        _queryGroup = new
                        {
                            number = depNumber + "." + groupNumber,
                            level = 2,
                            guidp = guId,
                            guid = guIdgroup,
                            name = _group.Name
                        };

                        var type = gr.GroupBy(g => g.InvTypeId).ToList();
                        var typeNumber = 1;
                        int sumUse = 0;
                        int sumNotUse = 0;
                        int total = 0;
                        foreach (var ty in type)
                        {
                            var typeId = ty.FirstOrDefault().InvTypeId;
                            var _type = invTypeRepo.where(w => w.IsDelete == 0).where(w => w.IsEnable == 1).get().Where(w => w.InvGroupId == groupId).FirstOrDefault(f => f.InvTypeId == typeId);
                            if (_type != null)
                            {
                                int use = invRepo.where(w => w.Status == 1 || w.Status == 3).where(w => w.InvGroupId == groupId).where(w => w.DepartmentId == departmentId).where(w => w.InvTypeId == typeId).count();
                                int notUse = invRepo.where(w => w.Status == 0 || w.Status == 2).where(w => w.InvGroupId == groupId).where(w => w.DepartmentId == departmentId).where(w => w.InvTypeId == typeId).count();
                                sumUse += use;
                                sumNotUse += notUse;
                                total += (use + notUse);

                                _queryType = new
                                {
                                    number = depNumber + "." + groupNumber + "." + typeNumber++,
                                    level = 3,
                                    guid = guIdgroup,
                                    name = _type.Name,
                                    use = use,
                                    notUse = notUse,
                                    sum = use + notUse
                                };

                                _query.Add(_queryType); // add level 3
                            }

                        }

                        _queryGroup = new
                        {
                            number = _queryGroup.number,
                            level = _queryGroup.level,
                            guidp = _queryGroup.guidp,
                            guid = _queryGroup.guid,
                            name = _queryGroup.name,
                            use = sumUse,
                            notUse = sumNotUse,
                            sum = total
                        };

                        _query.Add(_queryGroup); // add level 2
                        groupNumber++;
                    }
                }
                depNumber++;
            }

        }

        //=>Step 3 : Set data
        this.setResources(_query);

        //=>Step 4 : Set other parameter
        parameter.createAt = DateTime.Now.ToString("dd MMM yyyy HH.mm น.", DateTimeExtension.format_th);
    }

    public override void renderBody()
    {
        int Row = 8;
        if (this.data["data"].Count() == 0)
        {
            this.worksheet.Cells[Row, 1, Row, 5].Value = "ไม่พบข้อมูล";
            this.worksheet.Cells[Row, 1, Row, 5].Merge = true;
            this.worksheet.Cells[Row, 1, Row, 5].alignCenter();
            //ใส่เส้นตาราง
            this.worksheet.Cells[Row, 1, Row, 5].border(ExcelBorderStyle.Thin);
        }
        else
        {
            foreach (dynamic dep in this.data["data"])
            {
                //---ท่าอากาศยาน
                //สี
                this.worksheet.Cells[Row, 1, Row, 5].backgroundColor("#B4C6E7");
                this.worksheet.Cells[Row, 1].strong();//เลข ตัวหนา 
                this.worksheet.Cells[Row, 2].strong();//ชื่อท่า ตัวหนา 
                this.worksheet.Cells[Row, 1].alignCenter();//เลข อยู่ตรงกลาง
                //ข้อความ
                this.worksheet.Cells[Row, 1].Value = Convert.ToDecimal(dep.Col_1.ToString());
                this.worksheet.Cells[Row, 2].Value = dep.Col_2.ToString();


                Row++;
                foreach (dynamic group in dep.Row_2)
                {
                    //---กลุ่ม inv
                    //สี
                    this.worksheet.Cells[Row, 1, Row, 5].backgroundColor("#D9E1F2");
                    this.worksheet.Cells[Row, 3, Row, 5].strong();//ใช้งาน ไม่ได้ รวม ตัวหนา 
                    this.worksheet.Cells[Row, 1].alignCenter();//เลข อยู่ตรงกลาง
                    this.worksheet.Cells[Row, 3, Row, 5].alignCenter();//ใช้งานได้ ไม่ได้ รวม อยู่ตรงกลาง

                    this.worksheet.Cells[Row, 1].Value = Convert.ToDecimal(group.Col_1.ToString());
                    this.worksheet.Cells[Row, 2].Value = group.Col_2.ToString();
                    this.worksheet.Cells[Row, 3].Value = Convert.ToDecimal(group.Col_3.ToString());
                    this.worksheet.Cells[Row, 4].Value = Convert.ToDecimal(group.Col_4.ToString());
                    this.worksheet.Cells[Row++, 5].Value = Convert.ToDecimal(group.Col_5.ToString());

                    foreach (dynamic type in group.Row_3)
                    {
                        //---ประเภท inv
                        this.worksheet.Cells[Row, 3, Row, 5].alignCenter();//ใช้งานได้ ไม่ได้ รวม อยู่ตรงกลาง

                        this.worksheet.Cells[Row, 2].Value = type.Col_1.ToString();
                        this.worksheet.Cells[Row, 3].Value = Convert.ToDecimal(type.Col_2.ToString());
                        this.worksheet.Cells[Row, 4].Value = Convert.ToDecimal(type.Col_3.ToString());
                        this.worksheet.Cells[Row++, 5].Value = Convert.ToDecimal(type.Col_4.ToString());
                    }
                }

                //ใส่เส้นตาราง
                this.worksheet.Cells[8, 1, Row - 1, 5].border(ExcelBorderStyle.Thin);
            }
        }

        this.worksheet.Cells[1, 1, Row - 1, 5].valignCenter(); //ข้อความอยู่ตรงกลางแนวตั้ง
    }

    public override void renderHeader()
    {
        dynamic _data = this.data;
        //ความกวางของ column
        this.worksheet.Column(2).colWidth(56);
        this.worksheet.Column(3).colWidth(15);
        this.worksheet.Column(4).colWidth(15);
        this.worksheet.Column(5).colWidth(15);
        this.worksheet.Row(5).rowHeight(5.25);

        // ส่วนของหัวเรื่อง
        using (ExcelRange range = this.worksheet.Cells[2, 1, 2, 5])
        {
            range.Value = _data.title.ToString();
            range.Merge = true;
            range.strong(); //ตัวหนา
            range.alignCenter(); //อยู่กึ่งกลาง
        }

        // ส่วนของวันที่พิมพ์รายงาน
        dynamic parameter = this._parameter;

        using (ExcelRange range = this.worksheet.Cells[4, 3, 4, 5])
        {
            range.Value = "วันที่พิมพ์รายงาน : " + parameter.createAt.ToString();
            range.Merge = true;
            range.fontSize(14); //ขนาดตัวอักษร
            range.alignRight(); //ชิดขวา
        }

        // ส่วนของหัวตาราง
        // สีหัวตาราง
        this.worksheet.Cells[6, 1, 7, 5].backgroundColor(142, 169, 219);

        // ลำดับที่
        using (ExcelRange range = this.worksheet.Cells[6, 1, 7, 1])
        {
            range.Value = "ลำดับที่";
            range.Merge = true;
            range.strong();//ตัวหนา
            range.alignCenter();//อยู่ตรงกลาง
        }

        // ส่วนของหัวตาราง
        // รายการ
        using (ExcelRange range = this.worksheet.Cells[6, 2, 7, 2])
        {
            range.Value = "รายการ";
            range.Merge = true;
            range.strong();//ตัวหนา
            range.alignCenter();//อยู่ตรงกลาง
        }

        // ส่วนของหัวตาราง
        // จำนวน
        using (ExcelRange range = this.worksheet.Cells[6, 3, 6, 5])
        {
            range.Value = "จำนวน";
            range.Merge = true;
            range.strong();//ตัวหนา
            range.alignCenter();//อยู่ตรงกลาง
        }

        this.worksheet.Cells[7, 3].Value = "ใช้งานได้";

        this.worksheet.Cells[7, 4].Value = "ใช้งานไม่ได้";

        this.worksheet.Cells[7, 5].Value = "รวม";

        this.worksheet.Cells[7, 3, 7, 5].strong();//ใช้งานได้ ใช้งานไม่ได้ รวม ตัวหนา
        this.worksheet.Cells[7, 3, 7, 5].alignCenter();//ใช้งานได้ ใช้งานไม่ได้ รวม อยู่ตรงกลาง

        //เส้นของตาราง
        this.worksheet.Cells[6, 1, 7, 5].border(ExcelBorderStyle.Thin);
    }
}
    Edited by Tanasit Auewongaree
  • Tanasit Auewongaree @tanasit.a ·

    Extension จัดการ Row-Column

    คือ ส่วนเสริมสำหรับจัดการสไตล์เรื่อง แถว และ คอลัมน์

    ExcelWorksheet defaultRowHeight(this ExcelWorksheet excelSheet, double height)
    • กำหนดค่าเริ่มต้นความสูงของแถวให้กับทุกแถวภายในชีท
    ExcelWorksheet defaultColWidth(this ExcelWorksheet excelSheet, double width)
    • กำหนดค่าเริ่มต้นความสูงของคอลัมน์ทุกคอลัมน์ภายในชีท
    ExcelRow rowHeight(this ExcelRow excelRow, double height)
    • กำหนดความสูงของแถว 1 แถว
    ExcelRange autoWidth(this ExcelRange excelRange)
    • กำหนดความกว้างของคอลัมน์ทั้งหมดในบริเวณ ให้มีความกว้างตามความยาวของข้อความ
    ExcelColumn colWidth(this ExcelColumn excelColumn, double width)
    • กำหนดความกว้างของคอลัมน์ 1 คอลัมน์
    Edited by Tanasit Auewongaree
  • Tanasit Auewongaree @tanasit.a ·

    Extension จัดการ Text

    คือ ส่วนเสริมสำหรับจัดการสไตล์ข้อความ

    defaultFontSize(this ExcelWorksheet excelSheet, object fontSize)
    • กำหนดค่าเริ่มต้นให้กับขนาดตัวหนังสือภายในชีท
    defaultFontFamily(this ExcelWorksheet excelSheet, string fontFamily)
    • กำหนดค่าเริ่มต้นของประเภทฟอนต์ให้กับตัวหนังสือภายในชีท
    ExcelRow fontSize(this ExcelRow excelRow, float fontSize)
    • กำหนดขนาดฟอนต์ระดับแถว 1 แถว
    ExcelRange fontSize(this ExcelRange excelRange, float fontSize)
    • กำหนดขนาดฟอนต์บริเวณแถว
    ExcelColumn fontSize(this ExcelColumn excelColumn, float fontSize)
    • กำหนดขนาดฟอนต์ระดับคอลัมน์
    ExcelRow strong(this ExcelRow excelRow)
    • กำหนดใช้ตัวหนังสือหนาระดับแถว
    ExcelRange strong(this ExcelRange excelRange)
    • กำหนดใช้ตัวหนังสือหนาระดับบริเวณ
    ExcelColumn strong(this ExcelColumn excelColumn)
    • กำหนดใช้ตัวหนังสือหนาระดับคอลัมน์
    ExcelColumn wrapText(this ExcelColumn excelColumn, bool wrap)
    • กำหนดตัดความยาวของข้อความไม่ให้เกินขนาดความกว้างที่กำหนด
  • Tanasit Auewongaree @tanasit.a ·

    Extension จัดการ Text align

    คือ ส่วนของการจัดการสไตล์ตำแหน่งข้อความ

    ExcelRow alignCenter(this ExcelRow excelRow)
    • กำหนดให้ข้อความอยู่กึ่งกลางระดับแถว
    ExcelRow alignLeft(this ExcelRow excelRow)
    • กำหนดให้ข้อความชิดซ้ายระดับแถว
    ExcelRow alignRight(this ExcelRow excelRow)
    • กำหนดให้ข้อความชิดขวาระดับแถว
    ExcelRange alignCenter(this ExcelRange excelRage)
    • กำหนดให้ข้อความอยู่กึ่งกลางระดับบริเวณ
    ExcelRange alignLeft(this ExcelRange excelRage)
    • กำหนดให้ข้อความชิดซ้ายระดับบริเวณ
    ExcelRange alignRight(this ExcelRange excelRage)
    • กำหนดให้ข้อความชิดขวาระดับบริเวณ
    ExcelColumn alignCenter(this ExcelColumn excelColumn)
    • กำหนดให้ข้อความอยู่กึ่งกลางระดับคอลัมน์
    ExcelColumn alignLeft(this ExcelColumn excelColumn)
    • กำหนดให้ข้อความชิดซ้ายระดับคอลัมน์
    ExcelColumn alignRight(this ExcelColumn excelColumn)
    • กำหนดให้ข้อความชิดขวาระดับคอลัมน์
    ExcelRow valignCenter(this ExcelRow excelRow)
    • กำหนดให้ข้อความแนวตั้งระดับแถวอยู่กึ่งกลาง
    ExcelRow valignTop(this ExcelRow excelRow)
    • กำหนดให้ข้อความแนวตั้งระดับแถวอยู่บนสุด
    ExcelRow valignBottom(this ExcelRow excelRow)
    • กำหนดให้ข้อความแนวตั้งระดับแถวอยู่ล่างสุด
    ExcelRange valignCenter(this ExcelRange excelRage)
    • กำหนดให้ข้อความแนวตั้งระดับบริเวณอยู่กึ่งกลาง
    ExcelRange valignTop(this ExcelRange excelRage)
    • กำหนดให้ข้อความแนวตั้งระดับบริเวณอยู่บนสุด
    ExcelRange valignBottom(this ExcelRange excelRage)
    • กำหนดให้ข้อความแนวตั้งระดับบริเวณอยู่ล่างสุด
    ExcelColumn valignCenter(this ExcelColumn excelColumn)
    • กำหนดให้ข้อความแนวตั้งระดับคอลัมน์อยู่กึ่งกลาง
    ExcelColumn valignTop(this ExcelColumn excelColumn)
    • กำหนดให้ข้อความแนวตั้งระดับคอลัมน์อยู่บนสุด
    ExcelColumn valignBottom(this ExcelColumn excelColumn)
    • กำหนดให้ข้อความแนวตั้งระดับคอลัมน์อยู่ล่างสุด
    Edited by Tanasit Auewongaree
  • Tanasit Auewongaree @tanasit.a ·

    Extension จัดการ Border

    คือ ส่วนเสริมสำหรับกำหนดเส้นขอบ

    ExcelRange border(this ExcelRange excelRange, ExcelBorderStyle borderStyle)
    • กำหนดเส้นขอบให้กับบริเวณ
    Edited by Tanasit Auewongaree
  • Tanasit Auewongaree @tanasit.a ·

    Extension จัดการ Text color

    คือ ส่วนเสริมจัดการสีของข้อความ

    ExcelRow textColor(this ExcelRow excelRow, string codeColor)
    • กำหนดสีข้อความระดับแถว โดยใช้รหัสสีแบบ เอชทีเอ็มแอล5 (HTML5)
    ExcelRow textColor(this ExcelRow excelRow, Color color)
    • กำหนดสีข้อความระดับแถว โดยใช้ Class Color (System.Drawing.Color)
    ExcelRow textColor(this ExcelRow excelRow, byte r, byte g, byte b)
    • กำหนดสีข้อความระดับแถว โดยใช้รหัสสีแบบ การรผสมสีของแม่แบบ
    ExcelRange textColor(this ExcelRange excelRange, string codeColor)
    • กำหนดสีข้อความระดับบริเวณ โดยใช้รหัสสีแบบ เอชทีเอ็มแอล5 (HTML5)
    ExcelRange textColor(this ExcelRange excelRange, Color color)
    • กำหนดสีข้อความระดับบริเวณ โดยใช้ Class Color (System.Drawing.Color)
    ExcelRange textColor(this ExcelRange excelRange, byte r, byte g, byte b)
    • กำหนดสีข้อความระดับบริเวณ โดยใช้รหัสสีแบบ การรผสมสีของแม่แบบ
    ExcelColumn textColor(this ExcelColumn excelColumn, string codeColor)
    • กำหนดสีข้อความระดับคอลัมน์ โดยใช้รหัสสีแบบ เอชทีเอ็มแอล5 (HTML5)
    ExcelColumn textColor(this ExcelColumn excelColumn, Color color)
    • กำหนดสีข้อความระดับคอลัมน์ โดยใช้ Class Color (System.Drawing.Color)
    ExcelColumn textColor(this ExcelColumn excelColumn, byte r, byte g, byte b)
    • กำหนดสีข้อความระดับคอลัมน์ โดยใช้รหัสสีแบบ การรผสมสีของแม่แบบ
  • Tanasit Auewongaree @tanasit.a ·

    Extension จัดการ Background color

    คือ ส่วนเสริมจัดการสีของพื้นหลัง

    ExcelRow backgroundColor(this ExcelRow excelRow, string codeColor)
    • กำหนดสีพื้นหลังระดับแถว โดยใช้รหัสสีแบบ เอชทีเอ็มแอล5 (HTML5)
    ExcelRow backgroundColor(this ExcelRow excelRow, Color color)
    • กำหนดสีพื้นหลังระดับแถว โดยใช้ Class Color (System.Drawing.Color)
    ExcelRow backgroundColor(this ExcelRow excelRow, byte r, byte g, byte b)
    • กำหนดสีพื้นหลังระดับแถว โดยใช้รหัสสีแบบ การรผสมสีของแม่แบบ
    ExcelRange backgroundColor(this ExcelRange excelRange, string codeColor)
    • กำหนดสีพื้นหลังระดับบริเวณ โดยใช้รหัสสีแบบ เอชทีเอ็มแอล5 (HTML5)
    ExcelRange backgroundColor(this ExcelRange excelRange, Color color)
    • กำหนดสีพื้นหลังระดับบริเวณ โดยใช้ Class Color (System.Drawing.Color)
    ExcelRange backgroundColor(this ExcelRange excelRange, byte r, byte g, byte b)
    • กำหนดสีพื้นหลังระดับบริเวณ โดยใช้รหัสสีแบบ การรผสมสีของแม่แบบ
    ExcelColumn backgroundColor(this ExcelColumn excelColumn, string codeColor)
    • กำหนดสีพื้นหลังระดับคอลัมน์ โดยใช้รหัสสีแบบ เอชทีเอ็มแอล5 (HTML5)
    ExcelColumn backgroundColor(this ExcelColumn excelColumn, Color color)
    • กำหนดสีพื้นหลังระดับคอลัมน์ โดยใช้ Class Color (System.Drawing.Color)
    ExcelColumn backgroundColor(this ExcelColumn excelColumn, byte r, byte g, byte b)
    • กำหนดสีพื้นหลังระดับคอลัมน์ โดยใช้รหัสสีแบบ การรผสมสีของแม่แบบ
  • Tanasit Auewongaree @tanasit.a ·

    Extension จัดการ Format

    คือ ส่วนเสริมสำหรับจัดการรูปแบบค่า (Value)

    ExcelRange format(this ExcelRange excelRange, string formatter)
    • กำหนดรูปแบบค่า (Value) ระดับบริเวณ โดยสามารถกำหนดรูปแบบ เลข และ เวลา
Markdown is supported
0% or .
You are about to add 0 people to the discussion. Proceed with caution.
Finish editing this message first!
Please register or to comment